จะมีประเทศไหนที่เศรษฐกิจขยายตัวไว ขนาดที่ว่าแค่ข่าวลือเรื่อง GDP ของจีน ตลาดเงินทั่วโลกยังสะเทือน? จีนคือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก และการเติบโตของมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดฟอเร็กซ์แบบไม่ต้องสงสัย
ทำไมเศรษฐกิจจีนถึงมีอิทธิพลต่อฟอเร็กซ์?
ลองนึกภาพว่าคุณเล่นหมากรุกอยู่แล้วมีคนยักษ์มานั่งข้างๆ กระดาน แค่เขาขยับตัวนิดเดียวตัวหมากก็อาจจะปลิวหมดกระดาน — จีนก็ประมาณนั้นแหละในตลาดฟอเร็กซ์ ขนาดเศรษฐกิจของจีนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกทำให้มันสามารถกระทบต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินทั่วโลกได้อย่างมาก แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในตัวเลขเศรษฐกิจของจีน เช่น การเติบโตของ GDP หรือการตัดสินใจด้านการเงินจากธนาคารกลางจีน ก็สามารถทำให้ตลาดทั่วโลกขยับตามได้ทันที
จีนเป็นหนึ่งในผู้นำการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มการนำเข้าและส่งออกของจีนสามารถทำให้ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกเหล่านั้น เช่น ออสเตรเลีย (AUD) และแคนาดา (CAD) เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการจากจีน โดยเฉพาะเมื่อจีนลดการนำเข้าในช่วงที่เศรษฐกิจของตนชะลอตัว
นอกจากนี้ การตัดสินใจทางเศรษฐกิจของจีน เช่น การลดค่าเงินหยวน (CNY) หรือการตั้งดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน (PBoC) ก็สามารถทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศ และนำไปสู่การอ่อนค่าของสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่หลายประเทศ รวมถึงในตลาดฟอเร็กซ์ การแทรกแซงของจีนในการควบคุมค่าเงินหยวนยังสามารถทำให้คู่เงินหลักๆ อย่าง USD/CNY หรือ EUR/CNY มีความผันผวนรุนแรงได้
ในภาพรวม เศรษฐกิจจีนถือเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดฟอเร็กซ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจและการเงินของจีนมักจะมีผลกระทบต่อสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก การที่จีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดการเงินและการค้าระหว่างประเทศ ทำให้การเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของจีนสามารถทำให้เกิดความผันผวนในตลาดฟอเร็กซ์ได้ทุกเมื่อ
ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โต
- ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โต
- GDP ของจีนใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาดฟอเร็กซ์
- การเติบโตหรือการหดตัวของเศรษฐกิจจีนสามารถส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดโลก
- จีนเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกที่สำคัญที่สุดในโลก จึงมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของหลายสกุลเงิน
- เมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโต ก็จะเพิ่มการใช้จ่ายในสินค้าทั่วโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความต้องการสินค้าและบริการ
- มีอิทธิพลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
- จีนเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน โลหะ และธัญพืช การเปลี่ยนแปลงในความต้องการของจีนสามารถทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นหรือลง
- เมื่อจีนลดการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ จะทำให้ราคาน้ำมัน โลหะ และสินค้าอื่นๆ ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศผู้ผลิต
- ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นของความต้องการในจีนจะทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น ทำให้ค่าเงินของประเทศผู้ผลิตเหล่านั้นมีการปรับตัวตาม
- เป็นคู่ค้าหลักของประเทศใหญ่ๆ
- จีนเป็นคู่ค้าหลักของหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศในอาเซียน ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและตลาดฟอเร็กซ์ของประเทศเหล่านี้
- ความผันผวนในการค้าระหว่างจีนและประเทศต่างๆ สามารถทำให้ค่าเงินของประเทศเหล่านั้นขึ้นหรือลงตามภาวะการค้า
- การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าของจีน เช่น การปรับเปลี่ยนภาษีหรือข้อจำกัดทางการค้า จะส่งผลต่อค่าเงินและอัตราการแลกเปลี่ยนในตลาดฟอเร็กซ์
ค่าเงินหยวน (CNY) กับตลาดโลก
หัวข้อ | รายละเอียด | ผลกระทบต่อฟอเร็กซ์ | ประเทศที่เกี่ยวข้อง | เหตุการณ์สำคัญ |
กลยุทธ์ “Internationalization” ของหยวน | จีนพยายามทำให้หยวนเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น | การพัฒนาและขยายการใช้หยวนส่งผลต่อค่าเงินในตลาดต่างประเทศ | จีน, ประเทศที่มีการค้ากับจีน | การสร้างข้อตกลงการค้าสกุลเงินหยวนกับประเทศต่างๆ |
การถือหยวนเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ | ประเทศกำลังพัฒนาเริ่มถือเงินหยวนในทุนสำรองระหว่างประเทศแทนดอลลาร์สหรัฐฯ | การถือหยวนเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อตลาดฟอเร็กซ์และค่าเงินต่างๆ | ประเทศกำลังพัฒนา, จีน | การตกลงการค้าในหยวนระหว่างประเทศต่างๆ |
การเปลี่ยนแปลงค่าเงินหยวน | เมื่อค่าเงินหยวนมีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินต่างๆ ทั่วโลก | ตลาดฟอเร็กซ์ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของหยวน | สหรัฐฯ, ยุโรป, ประเทศที่มีการค้าและการลงทุนกับจีน | การแทรกแซงของธนาคารกลางจีนในการกำหนดค่าเงินหยวน |
ผลกระทบจากการปรับนโยบายของจีน | การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินหรือการกำหนดค่าเงินหยวนจากธนาคารกลางจีน | การเปลี่ยนแปลงในนโยบายเหล่านี้สามารถทำให้สกุลเงินอื่นๆ ขยับ | ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการเงินกับจีน | การลดค่าเงินหยวนหรือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย |
หยวนกับอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก | แม้หยวนยังไม่เป็นสกุลหลัก แต่ความสำคัญของมันในตลาดการเงินโลกกำลังเติบโต | การเปลี่ยนแปลงในหยวนมีผลต่อตลาดฟอเร็กซ์ในทุกๆ ด้าน | ประเทศที่มีการเทรดกับจีน | การเชื่อมโยงการใช้หยวนในระบบการเงินระหว่างประเทศ |
ความสัมพันธ์ระหว่างหยวนกับดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทั่วโลก แต่หยวน (CNY) กำลังเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในตลาดการเงินโลก แม้ว่าดอลลาร์จะเป็นพระเอกในตลาดฟอเร็กซ์ แต่หยวนก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของสกุลเงินคู่ต่างๆ เช่น USD/JPY, EUR/USD หรือแม้แต่ GBP/USD การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของหยวนสามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจจีนมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวของตลาดฟอเร็กซ์ทั่วโลก
ตัวอย่างของความสัมพันธ์นี้สามารถเห็นได้จากหลายเหตุการณ์ในจีน ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนและตลาดฟอเร็กซ์โดยตรง เมื่อจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยหรือการเพิ่มการใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐาน ความต้องการสินค้าของจีนจะสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน โลหะ และธัญพืชปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าสู่จีน เช่น ออสเตรเลีย (AUD) และนิวซีแลนด์ (NZD) ก็อาจจะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย จากการที่จีนมีความต้องการสูงในการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ
ในทางกลับกัน หาก GDP ของจีนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือเศรษฐกิจจีนเข้าสู่ภาวะชะลอตัว นักลงทุนมักจะหันไปขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง และหันไปหาสินทรัพย์ที่ถือว่าปลอดภัยมากขึ้น เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งทำให้ค่าเงินของสกุลเหล่านี้แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจจีนสามารถทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดฟอเร็กซ์
อีกตัวอย่างหนึ่งที่สามารถเห็นได้คือเมื่อค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงโดยตั้งใจจากธนาคารกลางจีน (PBoC) การปรับค่าเงินหยวนลงสามารถมีผลกระทบต่อประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่มีการซื้อขายกับจีน เพราะบางประเทศอาจตอบโต้ด้วยการลดค่าเงินสกุลของตน หรืออาจมีการแทรกแซงค่าเงินเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดฟอเร็กซ์ทั่วโลก ดังนั้น แม้ว่าหยวนจะไม่ใช่สกุลเงินหลักในตลาดการเงินโลก แต่การเคลื่อนไหวของมันก็สามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินอื่นๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ.
จีนกับสกุลเงินกลุ่ม Commodity Currencies
- การส่งออกสินค้าไปจีน
- ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยังจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจจีนมีผลกระทบโดยตรงต่อสกุลเงินของประเทศเหล่านี้
- เมื่อจีนมีความต้องการสูงสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน ผลิตภัณฑ์นม หรือเนื้อสัตว์ ราคาสินค้าเหล่านี้จะสูงขึ้น และสกุลเงินของประเทศที่ส่งออกเหล่านี้ เช่น AUD และ NZD จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
- ออสเตรเลียและสินค้าโภคภัณฑ์
- ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกแร่เหล็กและถ่านหินรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจีนเป็นตลาดหลักสำหรับสินค้าเหล่านี้
- เมื่อจีนชะลอการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ หรือการเติบโตของเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกลง ซึ่งทำให้ค่าเงิน AUD อ่อนค่าลงทันที
- การเคลื่อนไหวในราคาสินค้าเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในตลาดฟอเร็กซ์อย่างรวดเร็ว และทำให้ AUD/NZD มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจจีน
- นิวซีแลนด์และการส่งออกผลิตภัณฑ์
- นิวซีแลนด์พึ่งพาการส่งออกผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์เป็นหลัก โดยจีนเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่
- หากจีนลดการนำเข้าเหล่านี้หรือมีการชะลอตัวในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลกระทบก็จะไปถึงค่าเงิน NZD
- การเปลี่ยนแปลงในตลาดจีนโดยเฉพาะการลดความต้องการสินค้า จะทำให้ค่าเงิน NZD อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนอย่างใกล้ชิด
- ผลกระทบเมื่อจีนชะลอการนำเข้า
- เมื่อจีนตัดสินใจชะลอการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ ไม่ว่าจะเป็นแร่เหล็ก ถ่านหิน หรือผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์ จะส่งผลให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้ตอบสนองเกือบจะทันที
- ค่าเงิน AUD และ NZD อาจจะปรับตัวลดลงอย่างมากเพราะตลาดฟอเร็กซ์จะตอบสนองต่อการลดลงของความต้องการสินค้า และนักลงทุนอาจจะลดการถือครองสินทรัพย์ในประเทศเหล่านี้
- การเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้ทั้ง AUD/NZD มีความผันผวนตามเศรษฐกิจจีน และทำให้ตลาดฟอเร็กซ์ทั่วโลกต้องติดตามสถานการณ์ในจีนอย่างใกล้ชิด
การนำเข้าพลังงานของจีนกับผลกระทบต่อค่าเงิน
ปัจจัย/เหตุการณ์ | รายละเอียดจากจีน | สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบ | ประเทศผู้ส่งออกหลัก | ผลกระทบต่อค่าเงิน |
การนำเข้าน้ำมันของจีนเพิ่มขึ้น | ความต้องการพลังงานในประเทศพุ่งจากภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง | น้ำมันดิบ | แคนาดา (CAD), รัสเซีย (RUB), นอร์เวย์ (NOK) | สกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น |
ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูง | ความต้องการจากจีนดันราคาน้ำมันขึ้นทั่วโลก | น้ำมันดิบ | แคนาดา, รัสเซีย, นอร์เวย์ | ค่าเงิน CAD, RUB, NOK แข็งค่าตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น |
จีนลดการนำเข้าน้ำมันหรือถ่านหิน | เศรษฐกิจจีนชะลอตัวหรือใช้นโยบายพลังงานในประเทศแทน | น้ำมัน, ถ่านหิน | ประเทศผู้ส่งออกพลังงาน | ราคาพลังงานตกลง ค่าเงินประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงานอ่อนค่าทันที |
การเปลี่ยนทิศทางนำเข้าของจีน | จีนหันไปนำเข้าพลังงานจากประเทศใหม่หรือทำข้อตกลงพิเศษกับบางประเทศ | น้ำมัน, LNG | ประเทศที่ไม่ได้รับเลือกใหม่นำเข้าลดลง | ค่าเงินของประเทศที่ถูกลดการนำเข้าอ่อนค่าลงจากปริมาณส่งออกที่ลดลง |
การเจรจาทางการค้าระหว่างจีนกับ OPEC+ | มีการปรับโควตาการส่งออกหรือราคาต่อหน่วยตามข้อตกลงร่วม | น้ำมันดิบ | ซาอุดีอาระเบีย, UAE, รัสเซีย | ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดฟอเร็กซ์มีความผันผวนระยะสั้น |
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นจีนกับตลาดฟอเร็กซ์
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่ใครหลายคนคิด เพราะทุกครั้งที่เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ดัชนีร่วงลงอย่างรุนแรง มักตามมาด้วยการอ่อนค่าของเงินหยวน (CNY) อย่างฉับพลัน นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศเริ่มขยับตัว ถอนเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นจีน เพราะมองว่าเศรษฐกิจอาจกำลังมีปัญหา ความเชื่อมั่นหายไป ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินเคลื่อนย้ายไปยังสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือเยนญี่ปุ่น (JPY)
ผลกระทบที่ตามมาจากการไหลออกของเงินทุนเหล่านี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในจีนเท่านั้น แต่ยังสะเทือนถึงสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงทางการค้าหรือการลงทุนกับจีน หรือที่เรียกกันว่า EM Currencies เช่น บาทไทย (THB), รูเปียห์อินโดนีเซีย (IDR) หรือริงกิตมาเลเซีย (MYR) สกุลเงินเหล่านี้มักจะอ่อนค่าตามไปด้วย เพราะนักลงทุนมองว่าความเสี่ยงในภูมิภาคเพิ่มขึ้นพร้อมกัน
ในอีกมุมหนึ่ง การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนก็มีอิทธิพลเช่นกัน หากดัชนีในเซี่ยงไฮ้หรือเซินเจิ้นพุ่งแรงเพราะมีสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจ เช่น ยอดค้าปลีกหรือการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น เงินทุนจะไหลกลับเข้าสู่ประเทศจีน ซึ่งจะช่วยหนุนค่าเงินหยวนให้แข็งค่า นักลงทุนก็จะเริ่มกลับมาถือครองสกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ ทำให้เกิดภาพกลับขั้วแบบชัดเจนในตลาดฟอเร็กซ์
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นจีนกับฟอเร็กซ์จึงไม่ใช่เพียงแค่การสะท้อนภาวะเศรษฐกิจของจีนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความรู้สึกและการตัดสินใจของนักลงทุนทั่วโลก หากจะเทรดในตลาดฟอเร็กซ์อย่างมืออาชีพ การจับตาดัชนีหุ้นจีนจึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพราะมันคือตัวชี้วัดพฤติกรรมของเงินทุนที่มีผลโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก.
จีนกับการปล่อยกู้ในตลาดเกิดใหม่
- จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก โดยเฉพาะในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ และพลังงาน
- ประเทศที่ได้รับเงินกู้จากจีนส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และละตินอเมริกา ซึ่งรวมถึงประเทศอย่างปากีสถาน ศรีลังกา เคนยา แซมเบีย ตุรกี บราซิล และอาร์เจนตินา
- การปล่อยกู้จากจีนมักไม่ได้อยู่ในรูปของดอลลาร์หรือยูโร แต่เป็นในรูปของหยวน (CNY) หรือผ่านข้อตกลงสกุลเงินท้องถิ่น ทำให้เกิดความผูกพันทางการเงินโดยตรงกับเศรษฐกิจจีน
- ถ้าเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัว การปล่อยกู้ใหม่ก็จะลดลงทันที ทำให้ประเทศลูกหนี้ขาดสภาพคล่องและมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้
- เมื่อประเทศเหล่านี้ขาดเงินทุนและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ค่าเงินของพวกเขาก็จะเริ่มอ่อนตัวลง เช่น ลีราตุรกี (TRY), แรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR), เรียลบราซิล (BRL) และเปโซอาร์เจนตินา (ARS)
- การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในนโยบายของจีนจึงสามารถกระตุกทั้งเศรษฐกิจของประเทศปลายทางและสร้างความผันผวนในตลาดฟอเร็กซ์ได้ในระดับภูมิภาคหรือแม้แต่ระดับโลก
- การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับโครงการ Belt and Road รวมถึงการเปิดเผยตัวเลขเงินกู้ใหม่หรือการยกเลิกข้อตกลง จึงเป็นข้อมูลสำคัญที่นักเทรดควรจับตาเพื่อประเมินแนวโน้มของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่
- ยิ่งจีนปล่อยกู้มากและมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นมากเท่าไหร่ ความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจจีนก็ยิ่งกลายเป็นตัวแปรสำคัญของอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศเหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้น
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในจีน
ปัจจัยกระตุ้นความเชื่อมั่น | สถานการณ์ในจีน | ปฏิกิริยานักลงทุนต่างชาติ | ผลต่อค่าเงินหยวน (CNY) | ผลต่อสกุลเงินอื่นในฟอเร็กซ์ |
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ | จีนประกาศลดดอกเบี้ย สนับสนุนธุรกิจ | เงินทุนไหลเข้า หวังผลตอบแทน | CNY แข็งค่าขึ้น | AUD, NZD แข็งตาม (พึ่งพาจีน) |
ข่าวเศรษฐกิจเชิงบวก | GDP โตเกินคาด, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่ม | นักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้น/สินทรัพย์จีน | CNY แข็งค่าขึ้น | ตลาดเกิดใหม่ (EM) แข็งค่าตาม |
ข่าวลบหรือปัญหาในประเทศ | ปัญหาหนี้อสังหาฯ, รัฐแทรกแซงเทคโนโลยี | ต่างชาติเทขายสินทรัพย์จีน | CNY อ่อนค่าลง | USD, JPY แข็งค่าขึ้น (Safe Haven) |
ความตึงเครียดทางการเมือง | ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แย่ลง | นักลงทุนลดการลงทุนในจีน | CNY อ่อนและผันผวน | EUR, GBP อาจได้รับผลกระทบทางอ้อม |
การควบคุมเงินทุน | รัฐออกกฎควบคุมการโอนเงินต่างประเทศ | นักลงทุนกังวลเรื่องสภาพคล่อง | CNY ผันผวนหรืออ่อนค่า | เงินทุนไหลเข้าสหรัฐฯ → USD แข็ง |
เทคนิคการเทรดเมื่อจีนส่งผลต่อตลาด
เวลาที่จีนขยับตัวไม่ว่าจะด้วยข่าวเศรษฐกิจหรือมาตรการนโยบายอะไรบางอย่าง ตลาดฟอเร็กซ์ก็มักจะขยับตามแบบทันทีทันใด เทรดเดอร์ที่อยากอยู่รอดในจังหวะนั้นจึงต้องตั้งรับอย่างมีกลยุทธ์ หนึ่งในข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยคือการ “เทรดสวนข่าว” เช่น ถ้า GDP จีนออกมาต่ำกว่าคาด เทรดเดอร์บางคนอาจรีบเข้า Long AUD เพราะคิดว่ามันร่วงมาเยอะพอแล้ว แต่ความจริงมันอาจยังร่วงไม่สุด เพราะตลาดยังย่อยข่าวไม่เสร็จ
สิ่งสำคัญคือต้อง “ให้พื้นที่กับความผันผวน” โดยเฉพาะเวลาข่าวใหญ่จากจีนออก เช่น การประชุมของ PBOC หรือข้อมูลเศรษฐกิจรายไตรมาส การตั้ง Stop Loss ควรเผื่อไว้ให้กว้างขึ้นกว่าปกติ เพราะสัญญาณปลอม (false breakout) จะเกิดบ่อยมาก และถ้าเราตั้ง Stop สั้นเกินไป มีโอกาสโดนกินก่อนที่ราคาเดินทางไปในทิศทางที่เราวางแผนไว้จริง ๆ
อีกเทคนิคที่ช่วยให้ตัดสินใจแม่นขึ้นคือการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความรู้สึกของตลาด หรือ Sentiment Analysis เช่น ดูว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่กำลังถือฝั่งไหนอยู่ มีการเปิด Short CNY เยอะไหม หรือสกุลเงินกลุ่ม Commodity Currencies อย่าง AUD, NZD มีสัญญาณขายมากเกินไปหรือยัง ข้อมูลพวกนี้ช่วยให้เราประเมินโอกาสในการเกิด Reversal หรือการ Follow Trend ได้ชัดเจนขึ้น
สุดท้ายคือ “การรอจังหวะ” เทรดเดอร์หลายคนเสียเงินเพราะใจร้อน อยากเข้าให้ไวที่สุด แต่กับข่าวจีน บางครั้งการรอให้กราฟนิ่งก่อน หรือรอ Candlestick ยืนยัน อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะตลาดจะผันผวนแรงมากในช่วง 15-30 นาทีแรกหลังข่าว และการเข้าเทรดหลังจากนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนได้เยอะเลย
ตัวอย่างกลยุทธ์: เทรดตามเทรนด์จีน (เพิ่มเติม)
- เมื่อจีนประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าบางชนิด อาจกระตุ้นให้ความต้องการสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อคู่ค้ารายใหญ่ของจีน เช่น ออสเตรเลียหรือเยอรมนี กลยุทธ์ที่แนะนำคือ Long AUD, Long EUR เพื่อรับแรงบวกจากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ
- หากเกิดข่าวลือเกี่ยวกับการควบคุมทุน (Capital Control) ในจีน นักลงทุนต่างชาติอาจตื่นตระหนกและถอนทุนออกจากตลาดเกิดใหม่ กลยุทธ์ที่ควรพิจารณาคือ Long USD, Long JPY หรือ Long CHF เพื่อเกาะไปกับคลื่นเงินทุนที่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
- จีนออกนโยบายหนุนเทคโนโลยีในประเทศ (เช่น AI หรือชิปเซ็ต) ส่งผลให้หุ้นเทคจีนพุ่ง อาจดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศกลับเข้า CNY และตลาดหุ้นจีน กลยุทธ์ที่แนะนำคือ Long CNH และพิจารณาคู่สกุลเงินที่ผูกกับเศรษฐกิจจีน เช่น Long SGD หรือ Long KRW
- หากรัฐบาลจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นักลงทุนจะคาดการณ์ถึงการอ่อนค่าของ CNY และผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้า กลยุทธ์คือ Short CNH และ Long สกุลเงินที่สัมพันธ์เชิงลบกับ CNY เช่น USD, JPY
- เมื่อมีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างจีนกับประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น ตลาดจะเข้าสู่โหมดหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทันที กลยุทธ์คือ Long USD, Long CHF, Long JPY และหลีกเลี่ยงการเทรดสกุล EM Currency
- ถ้าข้อมูลการจ้างงานในจีน (เช่น Urban Employment) ออกมาต่ำ ตลาดจะตีความว่าเศรษฐกิจจีนกำลังมีปัญหาในระดับโครงสร้าง กลยุทธ์คือ Short AUD, Short NZD และมองหาโอกาส Long USD หรือ Long XAU/USD หากมีสัญญาณเงินไหลเข้าทองคำ